โรคข้อที่พบบ่อยที่สุด เกิดเนื่องจากมีการทำลายกระดูกอ่อนผิวข้อ (articular cartilage) อย่างต่อเนื่อง แบ่งโรคออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
- โรคข้อเสื่อมปฐมภูมิ (primary osteoarthritis) พบประมาณ 95% ของผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมทั้งหมด ไม่พบว่ามีสาเหตุนำมาก่อน โรคจะเกิดขึ้นตามอายุขัย และรุนแรงขึ้นตามอายุ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ข้อใดข้อหนึ่งในร่างกาย
- โรคข้อเสื่อมทุติยภูมิ (secondary osteoarthritis) พบประมาณ 5% ของผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมทั้งหมด ผู้ป่วยมักมีอายุน้อย
สภาวะซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรค อันได้แก่
– มีประวัติบาดเจ็บของข้อ
– Systemic diseases เช่น โรคเบาหวาน (diabetes)
– อ้วนมาก ๆ (obesity)
ในบุคคลกลุ่มเสี่ยงแต่ละกลุ่มจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่ตำแหน่งต่าง ๆกัน เช่น นักกีฬาเบสบอล มักเกิด OA
ที่ข้อไหล่ และ ข้อศอก นักกีฬาบาสเกตบอลมักเกิด OA ที่ข้อเข่า เพศหญิงมักเกิด OA ที่ข้อเข่า และ ข้อนิ้วมือ และเพศ
ชายมักเกิด OA ที่ข้อสะโพก
กลไกการเกิดโรค
พบว่าโรคข้อเสื่อมส่วนใหญ่สัมพันธ์กับผู้ป่วยสูงอายุทั้ง 2 เพศ โดยจะพบมากขึ้นหลังอายุ 50 ปี และ 80-90% ของคนอายุ 65 ปี จะเป็นโรคข้อเสื่อม จึงถือว่าโรคข้อเสื่อมเป็นโรคที่เกิดจากการผุพังของ กระดูกอ่อน (articular cartilage) ในปัจจุบันยังไม่ทราบวิธีป้องกันและยับยั้งโรคข้อเสื่อมชนิดปฐมภูมิ โดยส่วนใหญ่โรคจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และทำให้ผู้ป่วยมีความยากลำบากในการดำรงชีวิต
เกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน คือ
- การเปลี่ยนแปลงตามวัยของกระดูกอ่อน (age-related changes in cartilage) อันได้แก่การเสื่อมคลอลาเจน
- การที่ กระดูกอ่อน ต้องรับแรงที่มากระทำเป็นเวลานานหลายสิบปี
- ปัจจัยทางกรรมพันธุ์โดยเซลล์ต้นเหตุของโรคนี้ ได้แก่ เซลล์กระดูกอ่อน (chondrocytes) ซึ่งไม่สามารถรักษาสมดุของกระดูกอ่อน
พบการเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบในกระดูกอ่อน ดังนี้
– มีน้ำเพิ่มขึ้น
– มีความแข็งแรงของร่างแห คลอลาเจน ลดลง
– การสร้าง คลอลาเจน ลดลง
– การสลายคอลลาเจน เพิ่มขึ้น
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะทำให้ ความแข็งแรง และ ความยืดหยุ่นของกระดูกอ่อนลดลง
อาการอาการแสดง
จะเกิดขึ้นช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป และมีอาการ คือ
– ปวดตื้อ ๆ บริเวณข้อ เมื่อมีการเคลื่อไหวข้อเข่า เช่นการเดิน จะทำให้อาการแย่ลง
– ข้อติดตอนเช้า (morning stiffness)
– เกิดเสียงดังภายในข้อขณะเคลื่อนไหว (crepitation)